(บทความแปลมาจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ)
ต้นฉบับภาษาอังกฤษเขียนโดย มณฑิรา นาควิเชียร เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อสารองค์กร องค์การอนามัยโลก
แปลโดย สุวิมล สงวนสัตย์
สมุทรสาคร ประเทศไทย – แรงงานเมียนมาจำนวนมากกลับประเทศไปได้ก่อนที่ทางการไทยจะปิดพรมแดนเมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด 19 เพิ่มสูงขึ้น แต่ราว 400,000 คนยังอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร ทำให้อุตสาหกรรมอาหารทะเลดำเนินต่อไปได้และทำให้พวกเขาเองปลอดจากเชื้อไวรัสเพราะได้ความช่วยเหลือจากอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว กฎระเบียบอนามัยที่เข้มงวด และชุมชนที่มีความสามารถในการปรับตัวกับสถานการณ์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขกล่าว
จากข้อมูลของสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ แรงงานต่างด้าวราว 80 ล้านคนในเอเชียมีความเปราะบางต่อโรคระบาดนี้ หลายคนไม่ได้รับความช่วยเหลือเนื่องจากไม่อยู่ในระบบจึงทำให้ทางการและองค์กรด้านมนุษยชนเข้าไม่ถึง

พยาบาลที่คลินิกโควิด 19 โรงพยาบาลสมุทรสาคร ซึ่งในหนึ่งวันรับผู้ป่วยราว 20 รายทั้งไทยและต่างด้าว © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง
แต่ในสมุทรสาคร “ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการเข้าถึงการรักษาโควิด 19 และความช่วยเหลือต่างๆไม่ว่าสถานะทางกฎหมายจะเป็นอย่างไรก็ตาม” สุพจน์ เสือขำ หัวหน้ากลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ ภายใต้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครกล่าวในการสัมภาษณ์ขององค์การอนามัยโลก
จังหวัดสมุทรสาครตั้งอยู่บนชายฝั่งของอ่าวไทยและใช้เวลาขับรถเพียงชั่วโมงกว่าจากกรุงเทพฯไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จังหวัดนี้มีชุมชนแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สาธารณสุขจังหวัดกล่าวว่าเกินครึ่งของประชากรกลุ่มนี้เป็นแรงงานนอกระบบและทำงานในอุตสาหกรรมประมงและแปรรูปอาหารทะเล ซึ่งถือเป็น 3 เปอร์เซนต์ของรายได้มวลรวมของประเทศ
หลังจากมีการประกาศใช้พรก.ฉุกเฉินเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 ทางรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิวและสั่งปิดกิจการบางประเภท ตลอดจนปิดพรมแดนเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด 19 ในข้อเรียกร้องขององค์กรระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน มีการระบุว่า การเคลื่อนย้ายของแรงงานต่างด้าวเพื่อกลับเมียนมา สปป.ลาวและกัมพูชาทำให้เกิดแรงกดดันต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่ทำงานในแนวหน้าและเพิ่มความเสี่ยงของการแพร่ระบาดระหว่างประเทศเหล่านี้
ในข้อเรียกร้อง องค์กรระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานระบุว่า คนต่างด้าวเหล่านี้ไม่ว่าจะมีสถานะทางกฎหมายใดก็ตาม เป็นประชากรกลุ่มที่ยากจนที่สุดซึ่งไม่สามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านการประปาและสุขาภิบาลได้ จึงทำให้มาตรการป้องกันต่างๆมีประสิทธิภาพลดลง
แรงงานเมียนมาหลายคนที่ทางองค์การอนามัยโลกไปเยี่ยมในจังหวัดสมุทรสาครอยู่อาศัยในหอพักแออัด ไม่มีบริการทำความสะอาดในพื้นที่ส่วนกลางและมีข้อจำกัดในการเข้าถึงน้ำประปาที่สะอาด
เพื่อบรรเทาความเสี่ยงทางสาธารณสุขและลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาครซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานได้ออกคำสั่ง 15 ข้อเมื่อวันที่ 18 มีนาคม คำสั่งนี้ทำให้มีการขับเคลื่อนการเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง มีการบังคับใช้มาตรการทางสาธารณสุขที่เข้มงวด (เช่น วัดอุณหภูมิในพื้นที่สาธารณะ ระงับกิจกรรมทางวัฒนธรรมและศาสนา) และมีการปรับ 20,000 บาท (ประมาณ 650 เหรียญสหรัฐ) หากพบว่าใครไม่สวมหน้ากากในที่สาธารณะ

แพทย์ตรวจผู้ป่วยตามกิจวัตรที่คลินิกโควิด 19 โรงพยาบาลสมุครสาคร © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง
มีจำนวนผู้ป่วยโควิด 19 ที่รายงานทั้งสิ้น 18 รายในสมุทรสาคร ทุกรายได้รับการรักษาและหายดีแล้ว ทุกรายเป็นชาวไทยที่เดินทางมาจากจังหวัดอื่นและไม่มีการแพร่ระบาดในชุมชน การเฝ้าระวังในกลุ่มเสี่ยงนั้นมีการตรวจแรงงานเมียนมา 30,000 คนซึ่งผลตรวจทั้งหมดออกมาเป็นลบ
ผลลัพธ์ของมาตรการป้องกันโควิด 19 อาจออกมาแตกต่างจากนี้หากไม่ได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน ทางการไม่ได้สั่งปิดโรงงานแปรรูปอาหารทะเลเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการป้องกัน –
“ผู้ประกอบการธุรกิจประมงให้ความร่วมมือดีมากในการใช้มาตรการต่างๆในโรงงาน ถ้ามีกิจกรรมที่เสี่ยงย่อมเป็นผลเสียต่อรายได้ของพวกเขา” สุพจน์กล่าว

ไว มิน ตู ในหอพักคนงานที่จังหวัดสมุทรสาคร © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง
“พวกเราได้รับการร้องขอให้ใส่หน้ากาก ล้างมือ และรักษาระยะห่างเวลาทำงานในโรงงาน” ไว มิน ตู วัย 23 ปี กล่าว เขาเดินทางมากับภรรยาเพื่อทำงานในสมุทรสาครเมื่อสี่ปีก่อนจากทวายในภาคตะวันออกของเมียนมา
“เราไม่ได้กังวลมาก แต่ที่บ้านก็ทำตามที่แนะนำ เช่น ล้างมือบ่อยๆ เลี่ยงที่แออัด และไม่ไปทำกิจกรรมทางศาสนาในวันอาทิตย์” เขากล่าว “ภรรยาผมไปตลาดและทำธุระแค่เดือนละครั้งจากที่เคยไปทุกสองอาทิตย์”
คนหนุ่มสาวคู่นี้เหมือนกับแรงงานต่างด้าวจากเมียนมาทั่วไปตรงที่อ่านภาษาไทยไม่ออกและเข้าใจภาษาอังกฤษน้อยมาก ทั้งสองมีอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าวไปเยี่ยมที่บ้านบ่อยครั้ง หนึ่งในนั้นคือ ลวีน ลวีน จี ซึ่งคอยไปเยี่ยมคู่นี้และแรงงานคนอื่นๆในวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุด

ลวีน ลวีน จี มาเยี่ยมแค้มป์คนงาน © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง
ลวีน ลวีน จี วัย 26 ปี เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งมีอาสาสมัครเมียนมาราว 300
คนได้รับการอบรมเพื่อช่วยเหลือด้านภาษาเมื่อแรงงานหรือครอบครัวป่วย เธอมักจะทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลสมุทรสาครซึ่งได้นำความรู้ภาษาไทยของเธอมาใช้ประโยชน์
“อาสาสมัครเมียนมาช่วยได้มาก โดยเฉพาะช่วงพีคของการระบาดเมื่อมีแรงงานจำนวนมากเข้ามาตรวจโควิด 19” ขนิษฐา ปานรักษา พยาบาลซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกผู้ป่วยนอกที่โรงพยาบาลจัดตั้งขึ้นมารับมือกับการระบาดกล่าว

พยาบาลกรอกแบบฟอร์มข้อมูลสุขภาพที่คลินิกโควิด 19 ที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร เพื่อระบุอาการของโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง
ทุกวันแผนกรับคนไข้ประมาณ 20 รายทั้งไทยและเมียนมา ส่วนใหญ่มาพร้อมอาการระบบทางเดินหายใจ
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สำนักงานสาธารณสุขท้องที่ได้อบรมแรงงานต่างด้าวราว 30,000 คนเพื่อเป็นอาสาสมัครในสมุทรสาครเพื่อช่วยป้องกัน ค้นหาและรายงานผู้ป่วยต้องสงสัยโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ แต่การรักษาขีดความสามารถของโครงการไว้ก็ท้าทายเนื่องจากอาสาสมัครต่างด้าวอาจย้ายไปทำงานอื่นหรือไปจังหวัดอื่น สุพจน์กล่าว
ในเดือนพฤษภาคม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยความร่วมมือขององค์การอนามัยโลก มูลนิธิรักษ์ไทย และมูลนิธิศุภนิมิต ได้เปิดตัวสายด่วนเพื่อช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน มีคนต่างด้าวและคนไทยกว่า 70 คนที่สามารถพูดภาษาพม่า ลาวและเขมร ได้รับการอบรมให้รับโทรศัพท์สายด่วน 1422 เพื่อประเมินความต้องการของผู้ที่โทรเข้ามาและเพื่อส่งต่อผู้ป่วยโควิด 19 ต้องสงสัยไปยังบุคลากรทางการแพทย์

ตัวแทนจากกรมควบคุมโรคไปเยี่ยมแค้มป์คนงานที่สมุทรสาคร © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง
ข้อมูลจากสายด่วนจะช่วยต้านข่าวปลอมซึ่งทำให้เกิดผลกระทบในแง่ลบกับแรงงานต่างด้าวเช่นการกักตุนอาหาร เยมิน อาสาสมัครเมียนมาจากมูลนิธิรักษ์ไทยกล่าว
เยมิน วัย 35 ปี กล่าวว่าข้อมูลที่อาสาสมัครให้เป็นประโยชน์ต่อแรงงานต่างด้าวในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารทะเล สิ่งทอ รีไซเคิล หล่อโลหะและทำเฟอร์นิเจอร์
ซอ ซอ ลัต วัย 40 ปี ชาวเมียนมาอีกคนที่ทำงานกับสายด่วน กล่าวว่าคนที่ต้องการความช่วยเหลืออายุตั้งแต่ 18 ถึง 60 ปี และพวกเขาถามคำถามเกี่ยวกับโควิด 19 แทนที่จะถามเกี่ยวกับวัณโรคหรือเอชไอวีเหมือนในอดีต ซอ ซอ ลัต ได้รับสายเข้าจากแรงงานเมียนมาหลายคนในช่วงที่มีการระบาดของโรคอื่น ตั้งแต่ก่อนที่จะมีสายด่วนแรงงานต่างด้าวนี้
“สายด่วนภาษาพม่าและภาษามอญช่วยให้เราเข้าถึงแรงงานที่ปกติไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลออนไลน์หรือข่าวที่เขียนเป็นภาษาที่พวกเขาเข้าใจได้”
ไว มิน ตู แรงงานในโรงงาน กล่าวว่า ไวรัสโคโรนาไม่แยกแยะว่าใครเป็นใคร “ทุกคนมีโอกาสติดเชื้อเท่ากัน การระวังไว้ก่อนคือกุญแจสำคัญ”
ดร.แดเนียล เคอร์เทสซ ดร.ริชาร์ด บราวน์ อารีย์ ม่วงสุขเจริญ และ พาหุรัตน์ คงเมือง ทัยสุวรรณ์ เอื้อเฟื้อข้อมูล
Peter. J. Eng บรรณาธิการ
เครดิตภาพ พลอย พุฒเพ็ง
คลิก ที่นี่ เพื่อดูภาพเพิ่มเติม
หากคุณประสบปัญหาในการอ่านบทความด้านบน กรุณาติดต่อ [email protected]